วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคการอ่านหนังสือให้จำได้



เทคนิคการอ่านหนังสือที่จำได้

วันที่ อาทิตย์ กุมภาพันธ์ 2551
พิมพ์หน้านี้ ดูบล๊อกอื่นๆ ที่ OKnation

เทคนิคการอ่านหนังสือให้จำได้ง่ายๆ
ช่วงนี้คิดว่าหลายๆคนที่กำลังเรียนอยู่ก็คงจะใกล้สอบกันแล้วซินะ บางคนถ้าหากเตรียมตัวมาดีก็ดีไป แต่สำหรับบางคนที่มาเร่งช่วงสุดท้ายละก็มีหวัง…. งั้นวันนี้เราลองมาดูเคล็ดลับการอ่านหนังสือให้จำได้กันดีกว่านะ

เทคนิคการอ่านหนังสือยังไงให้จำง่ายๆ
ข้อที่ 1. ต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ
ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ
ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ
ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้อ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?" อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ ก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆบอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!ลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่เฉลย ก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ
ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ
ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ ควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้พักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือกเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)
ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ รู้นะว่าเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าจะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ
ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกให้จดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่จำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)
ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย บางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะ

ข้อมูลบางส่วนมาจาก www.dek-d.com
อ้างอิงhttp://www.oknation.net/blog/print.php?id=216289

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ม้าไทย


ม้าไทยและม้าเทศในประเทศไทย สำหรับประเทศไทย การใช้ม้าแต่แรกเริ่มนั้นนิยมใช้ม้าเป็นสัตว์ต่างมากกว่าที่จะใช้ขับขี่ ทั้งนี้อาจจะเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า ม้าไทยมีขนาดเล็ก ดื้อ ฝึกยาก แต่ก็ยังคงมีกลุ่มคนรักม้าที่ยังอนุรักษ์สายพันธุ์ม้าไทยกันอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น ทางภาคเหนือยังคงมีรถม้าอยู่ที่จังหวัดลำปาง และถือเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัด และชาวเขาทางภาคเหนือก็ยังคงเลี้ยงม้าไว้เพื่อช่วยในการขนสัมภาระไปตามดอยต่างๆ ภาคอีสานยังคงมีการเลี้ยงม้าเพื่อขับขี่และช่วยในการต้อนสัตว์ ของบรรดาเหล่านายฮ้อย ในปัจจุบันชาวบ้านจังหวัดขอนแก่นก็ได้พัฒนาไปเลี้ยงม้าแข่ง จังหวัดอุบลราชธานีก็มีคนเริ่มตื่นตัวเลี้ยงม้าไทยและอนุรักษ์ม้าไทยกันมากขึ้น สำหรับทางภาคกลางนอกจากจะเป็นแหล่งของการเพาะเลี้ยงม้าแข่งแล้ว ยังคงมีการเลี้ยงม้าเพื่อใช้ในงานรื่นเริง หรือในการทำพิธีทางศาสนา เช่นการแห่นาค โดยจะมีม้าแห่นาคเข้าร่วมขบวนกันอย่างใหญ่โต ที่บริเวณจังหวัด นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และที่ อ.หัวหิน จังหวัดประจวบคิรีขัณฑ์ นิยมเลี้ยงม้าไว้ให้บริการขี่เล่นบริเวณชายหาด

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ช้างไทย



>>>สัตว์บกสี่เท้าร่างใหญ่สง่ากล้าหาญ
ทนงานหนักเคยได้รับเกียติสูงให้เป็น
พาหนะยามออกศึกของพระมหากษัตริย์
ไทยในอดีตและเป็นสัตว์คู่บุญพระบารม
ีอีกด้วยสมัยหนึ่งภาพของสัตว์นี้เคยปรากฏ
เด่นเป็นสีขาวบนผืนธงชาติสีแดงของไทย
นอกจากนี้ส่วนหัวเมื่อประกอบเข้าเป็น
สามเศียรก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของตรา
แผ่นดินในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวชื่อของมันได้รับ
การกล่าวถึงในสุภาษิตและคำพังเพยไทย
หลายความหมายมาจนถึงทุกวันนี้สัตว์ท
ี่ยิ่งใหญ่นี้เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่าคือ ช้าง





ลักษณะและธรรมชาติของช้าง

ช้างเป็นสัตว์บกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นสัตว์แข็งแรงมีกำลังมาก มีขาใหญ่ 4 ขา พื้นเท้าอ่อนนุ่มเมื่อช้างเดินจึงไม่ใคร่ไดยินเสียง ส่วนการนอนของช้างนั้นโดยธรรมชาติแล้ว ช้างจะนอนตะแคงตัวลำตัวกับพื้น และมีการหาวนอนและนอนกรนเช่นเดียวกับมนุษย์ ตามปกติช้างจะนอนหลับในระยะเวลาสั้น เพียง 3-4 ชั่วโมง เวลานอนอยู่ในระหว่างเวลา 23.00 นาฬิกาถึง 03.00นาฬิกา ช้างไม่นอนกลางวันนอกจากมีอาการไม่สบาย
งวงช้างคือ จมูกของช้าง ยาวถึงพื้น ใช้หายใจและจับดึงยกลากสิ่งของต่าง ๆ ได้ และใช้หยิบอาการเข้าปาก ปลายงวงมีรูสองรู กลวงตลอดความยาวงวงช้าง งวงช้างไม่มีกระดูกอยู่ภาพใน จึงอ่อนไหวและแกว่งไปมาได้ง่าย งวงนี้ใช้อมน้ำและพ่นน้ำเล่นได้ เมื่อช้างจะดื่มน้ำจะใช้งวงดูดน้ำข้าไปเก็บไวในงวงก่อนแล้ว
จึงพ่นน้ำจากงวงเข้าในปากอีกทีหนึ่งงาช้างเป็นสิ่ง
ที่สวยงามและมีราคามากที่สุดในตัวช้าง งาช้างก็คือฟันหน้าหรือเขี้ยวของช้าง งอกออกจากขากรรไกรบนข้างละอัน งาช้างทั้งคู่มีสีขาวนวล เริ่มโผล่ใหเห็นเมื่อมีอายุประมาณ 2-5 ปี งาช้างที่สวยงามจะต้องมีความโค้งเรียบสม่ำเสมอจนเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม ช้างใช้งาเป็นอาวุธป้องกันตัวต่อสู่กับสัตว์ร้าย
นัยน์ตาช้างมีตาเล็กมาก
เมื่อเทียบกับรูปร่างอันสูงใหญ่ แต่ก็สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจนดี และเห็นไดแต่ไกลใบหู
มีลักษณะคล้ายพัด โบกไปมาอยู่เสมอ เมื่อช้างกางใบหูออกจะได้ยินเสียงจากที่ไกล ๆ ได้ดีขึ้น ช้างที่มีอายุมากใบหูจะม้วนลงมาและขอบล่างมักเว้าแหว่ง การเว้าแหว่งของขอบล่างใบหูอาจใช้คาดคะเนอายุของช้างได้อย่างคร่าว ๆ ถ้าใบหูเว้าแหว่งน้อยก็แสดงว่าอายุยังน้อย ถ้าเว้าแหว่งมากก็หมายถึงอายุมากหาง
หางช้างมีลักษณะกลมยาวเรียวลงไปถึงเข่า ที่ปลายมีขนเส้นโตสีดำ ยาวประมาณ 4-6 นิ้ว เรียงเป็น 2 แถว ตลอดความยาวของหางประมาณ 6-7 นิ้ว
จำนวนเล็บช้างมีนิ้วเท้าสั้นที่สุดจนเห็นแต่อุ้งเท้า มีเล็บโผล่ให้เห็นเป็นบางเล็บ ส่วนมากมี 18 เล็บ คือเท้าหน้าข้างละ 5 เล็บ เท้าหลังข้างละ 4 เล็บ บางตัวมี 16 บางตัวมี 20 เล็บ


ความฉลาดของช้างไทย

ช้างไทย เป็นช้างเอเชีย ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว สามารถนำมา
ฝึกใช้ในการใช้งาน ให้ทำตามคำสั่ง ของมนุษย์ได้
สรีระของช้างไทย ซึ่งเป็นช้างเอเชีย มีศรีษะ ใหญ่
มีมันสมองมาก ทำให้ช้างที่นำมาจากป่า เพื่อนำมาเลี้ยง เป็นช้างบ้าน
มีความสลาด สามารถสื่อสารกับมนุษย์ ผู้นำมาฝึก
คนเลี้องช้าง ควาญช้าง โดยเฉพาะที่เป็นชาวไทยกูย
หรือส่วย แห่งจังหวัดสุรินร์ จะมีความชำนาญ ในการฝึกช้างเป็นพิเศษ
ช้างไทย จัดเป็นสัตว์บก ขนาดใหญ่ ที่สามารถ สื่อสารกับมนุษย์ได้
กับภาษา พูดของมนุษย์ และอากัปกิริยา อาการ ที่สื่อสาร เข้าใจกันได้
ที่มา:(http://thaibrown2000.8m.com/)